AR (Augmented Reality) จะเป็นการผสานระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ด้วยการระบบคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แท็บเล็ต, สมาร์ทโฟน ซึ่งจะสร้างซึ่งที่ไม่มีอยู่จริง ให้เกิดขึ้นบนโลกเสมือน
ตัวอย่างของ AR น่าจะที่จะเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือเกม Pokemon Go ที่ใช้เทคนิคการผสานระหว่าง Maps ซึ่งเป็นเส้นทางบนแผนที่โลกและท้องถิ่นจริงๆ รวมกับเทคโนโลยีของเกมให้เราคอยเดินตามหาว่ามีศัตรู มีโปรเกม่อน หรือไอเท็มต่างๆ ตามจุดไหนบ้าง แล้วปรากฎผลลัพธ์บนหน้าจอสมาร์ทโฟน ภายใต้พิกัดและตำแหน่งจริงของแผนที่นั่นเอง
หากแต่ในส่วนของ VR นั้นจะเน้นไปทางการสร้างสรรภาพที่เสมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง หรือวิดีโอที่จะมุ่งให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่ ณ จุดๆ นั้นมากกว่า (คลิ๊กอ่านต่อเกี่ยวกับ VR)
ในส่วนของ AR แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท หลักได้แก่
- Marker-Based เน้นใช้กับวัตถุ เช่นผู้ใช้งานสามารถข้อมูลแบบ 3 มิติได้เพียงเปิดกล้องบน Smartphone แล้วนำไปส่องที่วัตถุนั้นที่ได้เตรียมเอาไว้ เช่น แผ่นกระดาษจากนั้น AR ก็จะแสดงผลลัพธ์ที่น่าสนใจขึ้นมา
- Marker-Less เป็นการใช้ AR เพื่อให้ผู้ใช้สามารถหยิบจับอะไรก็ได้มาจำลองการตกแต่ง เช่นนำเฟอร์นิเจอร์เสมือนมาวางไว้ที่ระบบ ก่อนซื้อมาไว้จริงๆ ว่าเมื่ออยู่ในห้องแล้วเฟอร์นิเจอร์นั้นๆ จะเหมาะไหม เป็นต้น
- Location-Based เช่นการใช้กล้องสมาร์ทโฟนส่องไปยังจุดที่เตรียมไว้สำหรับแสดงข้อมูลเส้นทาง ระบบ AR จะแสดงผลข้อมูลของสถานที่นั้นโดยอ้างอิงจาก GPS จริงให้ทันที ตัวอย่างเช่นชื่อของถนน ณ ขณะนั้น
และทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อแตกต่างระหว่าง VR และ AR เห็นไหมละครับ มันคือความแตกต่างที่คล้ายกันอยู่พอสมควรเลย หรือกล่าวโดยสรุปง่ายๆ ก็คือ AR เน้นแสดงวัตถุบนโลกเสมือนและเล่นกับมันได้ด้วย ส่วน VR จะเน้นไปทางการรับชมภาพหรือวิดีโอแบบ 360 ํ องศา เสียมากกว่านั่นเอง